วันนี้จะมาพูดถึงลำดับไพ่โป๊กเกอร์กัน พร้อมกับอธิบายรายละเอียดการเล่นอื่นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเล่นโป๊กเกอร์ จะให้รู้ว่าอีกฝ่ายฝีมือเป็นยังไง เพราะเมื่อเรารู้ลำดับไพ่กับหน้าไพ่แล้ว เราจะมีจังหวะในการเล่นที่ดีขึ้น รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ต้อง สู้ หมอบ หรือผ่าน สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้
สารบัญ
3. กติกา และวิธีเล่น โป๊กเกอร์
ลำดับไพ่โป๊กเกอร์
มีความสำคัญอย่างมาก ผู้เล่นทุกคนต้องทำความเข้าใจ และศึกษาข้อมูลให้ดี ยิ่งไพ่เรียงมีแต้มมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้เปรียบคู่ต่อสู้มากเท่านั้น แต่ถ้าได้ลำดับไพ่สูงกว่าการเรียงไพ่ คุณก็อาจรวยได้ในเกมโป๊กเกอร์ตานั้นเลย
- ไพ่เรียง Royal Straight Flush
ประกอบไปด้วย A, K, Q, J, 10 (ต้องเป็นดอกเดียวกันด้วย) ดอกโพธิ์ดำใหญ่สุด ถือเป็นไพ่เรียงที่มีแต้มใหญ่ที่สุด ซึ่งโอกาสที่ไพ่จะออกหน้าแบบนี้มีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์
- ไพ่เรียง Straight Flush
มีลักษณะคล้ายๆ ไพ่เรียง Royal Straight Flush แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือ แต้มของไพ่ไม่ได้สูง มีโอกาสออกหน้าไพ่แบบนี้ มากกว่าไพ่เรียงแบบที่ 1 และไม่สามารถเอาชนะไพ่เรียงแบบที่ 1 ได้
- ไพ่เรียงมีแต้มเหมือนกัน 4 ใบ Four kind
เป็นไพ่ที่มีแต้มเดียวกัน 4 ใบ โอกาสออกอยู่ที่ 0.024%
- ไพ่ตองบวก 1 คู่ Full House
เป็นไพ่เลขเดียวเหมือนกัน 3 ใบ และเลขเดียวกัน 2 ใบ ซึ่งไพ่รูปแบบนี้ จะใหญ่กว่าไพ่ตองธรรมดา เพราะมีไพ่คู่ค้ำไว้อยู่ด้วย แต่ถ้าคู่แข่งมีผลออกเหมือนกัน ทางคาสิโนจะคิดแต้มไพ่ตองก่อน หลังจากนั้นจะไปดูไพ่คู่
- ไพ่เรียงดอก Flush
รูปแบบไพ่มีดอกเดียวกันหมด ไม่ได้มีแต้มหน้าไพ่เดียวกัน หากถ้ามีคู่แข่งผลออกเท่านั้น ให้ตัดสินที่แต้มหน้าไพ่ ว่าของใครใหญ่กว่า ฝ่ายนั้นจะเป็นฝ่ายชนะ
- ไพ่เรียงกัน 5 ใบ ไม่นับดอก Straight
เป็นไพ่ที่เรียงแต้ม 5 ใบ โดยเป็นไพ่ดอกใดก็ได้ ซึ่งจะยึด เอช หรือ A ใหญ่ที่สุด แต่ต้องเรียงจาก A, K, Q, J, 10 เท่านั้น แต่ถ้าไพ่ของคุณเรียง 5, 4, 3, 2, 1, A จะถือว่า เอช มีค่าน้อยที่สุดแทน
- ไพ่ตองธรรมดา Three of kind
เป็นไพ่ตองที่มีเลขเหมือนกัน 3 ใบ หากคู่แข่งมีไพ่ตองแบบเดียวกับคุณ จะตัดสินที่ไพ่ 2 ใบสุดท้ายว่าใครแต้มใหญ่กว่ากัน
- ไพ่ 2 คู่ Two Pair
เป็นไพ่ที่มี 2 คู่ โดยมีเลขเหมือนกัน 2 ใบ 2 หมายเลข ส่วนไพ่ใบสุดท้ายเป็นเลขอะไรก็ได้ ผู้เล่นส่วนใหญ่จะได้ลำดับไพ่แบบนี้กันเยอะ เพราะออกง่าย
- ไพ่ 1 คู่ One pair
ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้สู้กัน เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่คุณจะพ่ายให้แก่คู่ต่อสู้ ที่มีลำดับไพ่ที่เหนือกว่า แต่หากคุณกล้าพอที่จะลักไก่ ก็จะมีโอกาสชนะเช่นกัน
- ไพ่แต้มสูง High Card
เป็นไพ่ที่มีโอกาสออกมากถึง 50% เพราะวัดกันแค่แต้มกันใบต่อใบ ไม่จำเป็นต้องเรียงอะไรทั้งนั้น โดยจะดูว่าแต้มใครใหญ่กว่ากัน ส่วนใหญ่ใครได้ไพ่หน้าแบบนี้ จะเป็นอันหมอบทุกคน
กลับสู่สารบัญคำศัพท์โป๊กเกอร์พื้นฐาน
เกมไพ่โป๊กเกอร์มีคำศัพท์เฉพาะมากมาย แต่จะมีที่ใช้บ่อยๆ เพียงไม่กี่คำ ไปดูกันว่า มีอะไรบ้าง
- River : ใช้เรียกกองไพ่ 5 ใบสุดท้าย
- Turn : ใช้เรียกกองไพ่ 4 ใบบนโต๊ะ
- Flop : เป็นการเรียกไพ่ที่เล่น 3 ใบแรก ที่หงายบนโต๊ะ
- Small Blind : เป็นการบังคับให้ผู้เล่นลงเดิมพันครึ่งหนึ่ง ของการเดิมพันขั้นต่ำ
- Big blind : เป็นการบังคับให้ผู้เล่นลงเดิมพันเต็มจำนวน ของการเดิมพันขั้นต่ำ
- Hold cards : ไพ่ที่รับจากคนแจกไพ่ ที่ไม่ใช่ดีลเลอร์
- Dealer : สมมุติให้เป็นคนแจกไพ่ (ไม่ได้แจกจริง และได้เล่นเป็นคนสุดท้าย)
- Button : เป็นปุ่มเครื่องหมายอยู่หน้าผู้เล่น วนเวียนไปตามรอบ
ชนิดของเกมไพ่โป๊กเกอร์
โป๊กเกอร์ที่นิยมเล่นกันมากที่สุดมีด้วยกัน 3 แบบใหญ่ๆ คือ Texus Hold’em, Omaham, 7/5 Stud ขึ้นอยู่กับคาสิโนนั้นๆ แต่กติกาส่วนใหญ่แล้วจะมีลักษณะคล้ายๆ กันหมด
- โฮลเอ็ม Texus Hold’em
เป็นรูปแบบที่คนมักนิยมมากที่สุด ซึ่งจะประกอบด้วยการแจกไพ่ 2 ใบ ให้ผู้เล่น และแจกอีก 5 ใบสำหรับกองกลาง โดยผู้เล่นจะต้องมีไพ่ทั้ง 7 ใบ รวมกองกลางด้วย ฝ่ายไหนดีที่สุดเป็นฝ่ายชนะไป
- โอมาฮ่า Onaha
เป็นโป๊กเกอร์อันดับที่ 2 ที่คนนิยมเล่นกันมากสุด โดยจะแจกใบใหเผู้เล่น 4 ใบ กองกลาง 5 ใบ จากนั้นให้เราเลือกไพ่ 2 ใบ มาแทนที่ไพ่กองกลาง ใครคะแนนไพ่กองกลางดีสุด จะเป็นผู้ชนะในตานั้นๆ
- สตัล 7/5 Stud
เป็นรูปแบบไพ่โป๊กเกอร์ที่ไม่มีไพ่กองกลาง โดยจะแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ 7 สตัล และ 5 สตัล
- 5 สตัล แจกไพ่ให้ผู้เล่น 5 ใบ เมื่อแจกครบแล้ว ให้หงายไพ่ดูว่าไพ่ของใครเหนือ ก็เป็นฝ่ายชนะ
- 7 สตัล จะแจกไพ่ 5 รอบ ทั้งหมด 7 ใบ แต่ละรอบสามารถเพิ่มเงินเดิมพันได้ตลอด
- รอบที่ 1 แจกไพ่ 3 ใบ 2 ใบแรกคว่ำ ใบที่ 3 หงาย
- รอบที่ 2 แจกไพ่หงาย 1 ใบ
- รอบที่ 3 แจกไพ่หงาย 1 ใบ
- รอบที่ 4 แจกไพ่หงาย 1 ใบ
- รอบที่ 5 แจกไพ่คว่ำ 1 ใบ รวมทั้งหมดเป็น 7 ใบ
- สุดท้ายผู้เล่นจะเลือกไพ้ในมือมา 5 ใบ จากทั้งหมด 7 ใบ มาตัดสินกันว่าใครจะได้รับชัยชนะในเกมนั้นๆ
กติกา และวิธีเล่นโป๊กเกอร์
สำหรับไพ่โป๊กเกอร์จะมีรอบเดิมพันหลายรอบต่อหนึ่งเกม การเดิมพันก็จะเริ่มตั้งแต่ก่อนแจกไพ่ และจะมีไปเรื่อยๆ จนไพ่ถูกแจกครบตาม จากนั้นผู้เล่นจะนำไพ่ทั้ง 5 ใบที่มีอยู่ผสมกัน โดยเรียงตามลำดับไพ่ เพื่อดูว่าแต้มของใครเหนือกว่ากัน ซึ่งในแต่ละเกม จะสามารถมีผู้ชนะได้มากกว่า 1 คน โดย วิธีเล่นโป๊กเกอร์ ก็จะมีดังนี้
1. ผู้แจกไพ่ทำการแจกไพ่ให้กับผู้เล่นทุกคนบนโต๊ะ ตอนนี้ไพ่ที่อยู่ในมือผู้เล่นจะเรียกว่า Hold card
2. หลังจากที่ได้ไพ่กันครบแล้ว ผู้เล่นที่อยู่ซ้ายมือของ Big Blind จะเป็นผู้เริ่มเล่นก่อน
3. ในการเล่น ผู้เล่นจะสามารถเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ดังนี้
- Fold เป็นการทิ้งไพ่ในมือ เพื่อบอกว่าไม่ต้องการเล่นในเกมนี้แล้ว หรือที่เรียกกันว่า หมอบ
- Call เป็นการวางเดิมพันตามชิปเดิมพันสูงสุดในรอบนั้น
- Raise เป็นการเพิ่มเดิมพันสูงสุด หากมีคน Raise คนอื่นที่เหลือจะต้อง Call ตาม เพื่อให้ชิปเดิมพันเท่ากัน หรือจะ Fold ก็ได้
- Check ผู้เล่นสามารถเคาะโต๊ะเป็นสัญญาณการผ่านได้ จะทำก็เมื่อชิปเดิมพันของเราเท่ากับเดิมพันสูงสุด ณ ตอนนั้น แล้วเราก็ไม่ต้องการเพิ่มเดิมพันอีก หากทุกคน Check จนครบ ผู้แจกไพ่จะเริ่มรอบต่อไปด้วยการแจกไพ่
4. หลังจากผู้เล่นที่เหลือทำซ้ำในข้อ 3 ไปแล้ว ผู้แจกไพ่จะแจกไพ่กองกลางใบที่ 4 หรือที่เรียกกันว่า Turn เพื่อเริ่มเล่นรอบต่อไป
5. เมื่อถึงรอบสุดท้าย ผู้แจกไพ่จะแจกไพ่ใบที่ 5 หรือที่เรียกว่า River ลงไปบนโต๊ะ เพื่อเริ่มการแข่งขันรอบสุดท้าย
6. เมื่อจบรอบสุดท้ายแล้ว ผู้เล่นที่เหลือจะต้องเปิดไพ่เพื่อวัดแต้มกัน ใครที่ผสมไพ่ 2 ใบในมือกับอีก 5 ใบบนโต๊ะได้แต้มมากกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ
กลับสู่สารบัญฝากทิ้งท้าย
สำหรับการเล่น โป๊กเกอร์ หากว่าตั้งแต่เริ่มมาเราไม่มีไพ่คู่สักชุด หรือคิดว่าเรียงไพ่ต่อกันดีๆ ไม่ได้ ส่วนใหญ่มักจะเลือกทิ้งไพ่กันไปเลย แม้ว่าไพ่ High Card จะมีโอกาสออกสูงที่สุด แต่ถ้าไปเจอไพ่คู่ก็คือจบ แต่ไพ่โป๊กเกอร์นั้น เป็นเกมไพ่ที่ไม่ได้ใช้แค่แต้มเท่านั้น แต่ยังใช้การข่มขวัญอีกฝ่ายให้คิดไปเอง ให้ยอมทิ้งไพ่ นั่นหมายความว่า ต่อให้มีไพ่คู่ แต่ถ้าดูสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายไม่ออก ก็มีสิทธิ์โดนหลอก ให้ทิ้งไพ่ได้เหมือนกัน