ปัจจุบันในหลายๆ กีฬาได้นำเทคโนยีเข้ามาช่วยในการตัดสิน โดยกีฬาฟุตบอลก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับการตัดสินของกรรมการ ที่ไม่ทันเกม หรืออยู่ในจุดที่มองไม่เห็น จนทำให้เกิดการตัดสินที่ผิดพลาด ส่งผลให้บางทีมนั้นเสียเปรียบจากการตัดสินที่ผิดพลาด จึงทำให้มีการนำ var เข้ามาช่วยในการตัดสิน
สารบัญ
4. สรุป var ทำให้เสน่ห์ของฟุตบอลหายไป หรือไม่
var คืออะไร
เป็นการใช้ระบบภาพช้าเข้ามาช่วยตัดสินการแข่งขัน โดยมีทีมผู้ช่วยผู้ตัดสินในห้องปฏิบัติการ คอยตรวจสอบภาพย้อนหลังเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยผู้ตัดสินสามารถใช้เรียกดูวิดีโอย้อนหลังได้ 4 กรณี ดังนี้
- จังหวะการได้ประตู
- จังหวะจุดโทษ หรือไม่จุดโทษ
- การให้ใบแดงโดยตรง กรณีที่มีการฟาวล์หนักๆ
- การให้ใบเหลือง หรือใบแดงผิดคน
การตรวจสอบของ var จะมีอยู่สามขั้นตอนคือ
- เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลในสนาม ทางผู้ตัดสินหลัก สามารถติดต่อกับผู้ช่วยผู้ตัดสิน ที่อยู่ในห้องมอนิเตอร์ได้ ด้วยการส่งสัญญาณเป็นรูปสามเหลี่ยม
- ทีม var จะทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องในภาพย้อนหลัง
- ทีม var จะทำการแจ้งข้อมูลกลับไปให้ผู้ตัดสินในสนาม เพื่อพิจารณาใหม่อีกรอบหนึ่ง
ทีม var มีใครบ้าง
ระบบ var จะมีทีมผู้ช่วยผู้ตัดสินสามตำแหน่งดังนี้
- ผู้ช่วยผู้ตัดสิน ที่รับหน้าที่ประสานงานหลักในห้องปฏิบัติการ (โดยที่อาจเป็นผู้ตัดสินมาก่อน หรือไม่ก็ได้)
- ผู้ช่วยของผู้ช่วยผู้ตัดสิน
- ผู้ควบคุมจอมอนิเตอร์ เพื่อคอยเล่นภาพย้อนหลัง
ทั้งนี้ทาง International Football Association Board (IFAB) หรือคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลนานาชาติ ได้นำเทคโนโลยี Video assistant referee หรือ var เข้ามาเป็นผู้ช่วย ผู้ช่วยผู้ตัดสินฟุตบอล ช่วยในการทบทวนการตัดสินใจของหัวหน้าผู้ตัดสิน
กลับสู่สารบัญvar กับการแข่งขันใหญ่ๆ
- การทดลองใช้ระบบ var เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559 โดยมีการแข่งขันฟุตบอล United Soccer League ระหว่างสองทีมสำรองของ Major League Soccer
- วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ในระหว่างอังกฤษกับเยอรมนี ที่สนามเวมบลีย์
- ในรอบชิงชนะเลิศ FIFA Club World Cup ใน ปี 2016 ที่ ประเทศญี่ปุ่น
- ปีพ.ศ. 2017-2018 Primeira Liga FIFA วางแผนที่จะเปิดตัวระบบที่ 2018 FIFA World Cup
การนำ var เข้ามาใช้ในการแข่งขัน ทำให้การตัดสินมีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น ลดปัญหาการใช้เทคนิค ที่พยายามหลบเลี้ยงการทำฟาวล์ แต่ var ก็อาจจะมีข้อเสียอยู่บ้าง เพราะว่าอาจทำให้การตัดสินมีการเปลี่ยนแปลง หรือเกมขาดความต่อเนื่อง จึงทำให้ขาดความสนุก และสีสันในเกมส์การแข่งขันไป (มาทำความรู้จักกับ สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ)
ปัจจุบันเกิดข้อบังคับการใช้ var ในทุกการแข่งขัน
เพราะเทคโนโลยีนี้ ทำให้ฟุตบอลเป็นไปอย่างยุติธรรม ส่วนในกีฬาประเภทอื่น ก็เริ่มมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้แล้วเช่น อเมริกันฟุตบอลที่ผู้ตัดสินใช้ var เพื่อมาช่วยในการตัดสินเกมส์ ต้องยอมรับว่า var มีส่วนช่วยในการพัฒนาการแข่งขันฟุตบอลให้ดียิ่งขึ้น และสามารถช่วยแบ่งเบาภาระให้กับผู้ตัดสินได้
กลับสู่สารบัญถ้าในอดีตมีเทคโนโลยี var
ระบบ var ได้การยอมรับ และเริ่มเป็นที่รู้จักไม่กี่ปีที่ผ่านมา คิดเล่นๆ ถ้าหากมีเทคโนโลยี var มาช่วยตัดสินฟุตบอลโลกตั้งแต่ปีแรกๆ ที่มีการจัดแข่งขัน ไม่แน่ว่าประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้
1. จะไม่มีประตูหัตถ์พระเจ้า (The End of Hand of God goal)
ไม่มีใครไม่รู้จัก ดิเอโก มาราโดนา (Diego Maradona) นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ผู้กลายเป็นตำนาน หลังสิ้นเสียงนกหวีดในรอบแปดทีมสุดท้าย ระหว่างอาร์เจนตินากับอังกฤษ ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1986 มาราโดนากลายเป็นตำนาน หลังจากที่เขาอาศัยจังหวะชุลมุน ใช้มือซ้าย ปัดลูกฟุตบอลเข้าประตูไปอย่างรวดเร็ว ในแมตช์นั้น ทางกรรมการชาวตูนิเซีย มองไม่เห็นการใช้มือของมาราโดนา จึงตัดสินให้ลูกนี้เป็นประตู และทำให้ทีมอาร์เจนตินาเข้ารอบชิง
2. ไม่มีประตูของ เจฟฟ์ เฮิร์สต์
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างข้อโต้แย้งกันเรื่อย คือเหตุการณ์ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบชิงปี 1996 ระหว่าง ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก กับทีมชาติอังกฤษ ตอนช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 103 ในนาทีนั้น เจฟฟ์ เฮิร์สต์ (Geoff Hurst) จับบอลในกรอบเขตโทษแล้วยิง ลูกบอลเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว พุ่งชนคาน ก่อนตกลงสู่พื้น แล้วเด้งหลุดนอกกรอบประตู
ด้านผู้ตัดสิน ก็อตต์ฟรีด ดีนสท์ (Gottfried Dienst) ก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าประตูดังกล่าวนับว่าเป็นประตูได้ หรือไม่ แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินยืนยันว่า ลูกบอลได้เข้าประตูไปแล้ว เมื่อได้รับการยืนยัน เขาจึงตัดสินให้เป็นประตู ผู้เล่นเยอรมันหลายคนยืนยันว่าลูกบอลไม่ได้ข้ามเส้นประตู แต่เสียงคัดค้านนั้นถูกปฏิเสธ หลังการแข่งขันนัดนั้นผ่านไปสักพัก จึงได้ข้อสรุปว่า ลูกบอลลูกนั้น ไม่เคยผ่านเส้นประตูเข้าไปทั้งใบแต่อย่างใด
3. ฮารัลด์ ชูมัคเกอร์ ต้องได้รับโทษหลังกระแทก ปาทริก บาติสต็อง จนฟันร่วง
ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบรองชนะเลิศ ระหว่างทีมเยอรมนีตะวันตก และทีมฝรั่งเศส ปี 1982 ตัวสำรองของฝั่งฝรั่งเศส ปาทริก บาติสต็อง (Patrick Battiston) ลงสนาม ในจังหวะที่ทางบาติสต็อง พยายามเกี่ยวบอลลงเล่นในเขตโทษ ฝั่งผู้รักษาประตู ฮารัลด์ ชูมัคเกอร์ (Harald Schumacher) เยอรมนี ก็มาพุ่งชนบาติสต็อง จนมีอาการบาดเจ็บสาหัส
บาติสต็องอยู่ในสภาพย่ำแย่ กระดูกสันหลังของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก และมีฟันหลุดออกมาสองซี่ เขานอนสลบอยู่กลางสนาม และไม่ได้สติเป็นเวลานาน การปะทะครั้งนั้นเกือบจะฆ่าบาติสต็อง แต่ในขณะเดียวกัน ทางด้านชูมัคเกอร์ ก็ไม่ได้รับการลงโทษอะไรเลยแม้แต่น้อย แถมทางเยอรมนียังได้ลูกเตะออกจากประตูอีกต่างหาก
4. แฮนด์บอลของ อองรี จะทำให้ฝรั่งเศสไม่ได้ไปฟุตบอลโลก 2010
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 รอบ 32 ทีมสุดท้าย ทีมฝรั่งเศส และทีมสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ต้องมาเผชิญหน้ากัน สุดท้ายผลคะแนนออกมาเป็นฝรั่งเศสเข้ารอบไปด้วยผล 1-0 แต่ประเด็นอยู่ที่ประตูแรก และประตูเดียวของทางฝั่งฝรั่งเศส เป็นประตูที่ผิดกฎ และไม่สมควรที่จะนับว่าเป็นประตู
เมื่อสื่อได้นำเสนอภาพย้อนหลังการแข่งขันนัดนั้น ปรากฏว่าทางศูนย์หน้าของทีมชาติฝรั่งเศสอย่าง เธียร์รี อองรี (Thierry Henry) ทำผิดกติกา โดยใช้มือปัดบอลเข้าประตูในช่วงเวลาที่ โฟลรองต์ มาลูดา (Florent Malouda) เตะฟรีคิกเข้าไปในกรอบเขตโทษ แม้ว่าจะมีการทักท้วง แต่ท้ายที่สุดผลการตัดสิน ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
กลับสู่สารบัญสรุป var ทำให้เสน่ห์ของฟุตบอลหายไป หรือไม่
ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่า การใช้เทคโนโลยีนี้ทำให้การตัดสินตรงไปตรงมา แต่มันอาจทำให้อรรถรสในการรับชมหายไป ด้วยคำตัดสินที่กลับไปกลับมา เพราะบางทีอารมณ์ และความรู้สึกขณะนั้นก็สำคัญ ไม่แพ้กับเกมส์การแข่งขันที่อยู่ในสนาม จึงมีแฟนบอลส่วนหนึ่ง ที่ไม่ชอบการตัดสินโดยใช้วีดิโอแบบนี้ แต่ในทางกลับกันมันคือความแฟร์